ตำนานพระกินเณร
เรื่องราวเกี่ยวกับความเชื่อ หรือตำนานสยองขวัญเรื่องต่างๆ มักจะมีอยู่คู่กับวิถีชีวิต และวัฒนธรรมไทยมาช้านาน หลายเรื่องเล่าต่อกันมาตั้งแต่สมัยปู่ย่าตายาย มีการต่อเติมเสริมแต่งเข้าไปตามการเวลา และก็เล่าต่อๆกันมาไล่มาตั้งแต่ยุคสมัยโบราณ มาจนถึงเมื่อห้าสิบกว่าปี ส่วนจะเป็นเรื่องจริงทั้งหมดนั้น หรือว่าจะเป็นจริงแค่บางส่วน ไม่มีใครสามารถยืนยันได้ นอกจากจะใช้วิจารณญาณในการชมเท่านั้น ดังเรื่องต่อไปนี้เรื่องเล่าที่สืบต่อกันมา นานกว่าห้าสิบปีแล้วนั้นก็คือ ตำนานเกี่ยวกับเรื่อง “พระกินเณร” ที่เกิดขึ้น ณ วัดแห่งหนึ่ง ที่จังหวัดนครสวรรค์นั่นเอง ปัจจุบันวัดแห่งนี้มีชื่อว่าวัดวรนาถบรรพต หรือว่าวัดเขากบ อันเป็นวัดเก่าแก่ของจังหวัดนครสวรรค์ตั้งอยู่บนยอดเขา เชิงเขากบ สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณหนึ่งร้อยแปดสิบห้าจุดห้าศูนย์เมตร มีทางขึ้นสองทางด้วยกัน คือทางบันไดจำนวนสี่ร้อยสามสิบเจ็ดขั้น อีกด้านหนึ่งมีถนนลาดยางขึ้นสู่ยอดเขาวัดแห่งนี้มีโบราณวัตถุ อาทิ รอยพระพุทธบาทจําลอง เจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ซึ่งสร้างในสมัยสุโขทัยเป็นราชธานี บริเวณเชิงเขามีเจดีย์ขนาดใหญ่สมัยสุโขทัย ซึ่งกรมศิลปากรได้จารึกประวัติศาสตร์ของวัดไว้ที่ฐานเจดีย์ มีอายุราวเจ็ดร้อยปีวัดแห่งนี้ได้รับการยกย่องจากกรมการศาสนา และมหาเถรสมาคมให้เป็นวัดพัฒนาตัวอย่างเมื่อปีสอง พ.ศ.2509 นอกจากนั้น วัดยังมีรูปหล่อหลวงพ่อทอง อดีตเจ้าอาวาส อันเป็นที่เคารพนับถือของชาวจังหวัดนครสวรรค์ ประดิษฐานอยู่ในวิหารข้างเจดีย์ใหญ่ย้อนกลับไปเมื่อประมาณปี พ.ศ.2460 ณ วัดเขากบ ในสมัย บริเวณวัดยังเป็นป่าทึบรก วัดแห่งนี้เป็นวัดร้าง ไม่มีพระหรือเณรอยู่จำพรรษา จึงถูกทิ้งร้างอยู่หลายสิบปี จนกระทั่งหลวงพ่อทอง เกจิด้านวิปัสสนากรรมฐาน เดินธุดงค์มาจากจังหวัดอุตรดิตถ์
ผ่านมาปักกลดจำพรรษาอยู่ ณ วัดแห่งนี้ ชาวบ้านจึงนิมนต์ให้ท่านอยู่เป็นเจ้าอาวาส และพัฒนาวัดให้เจริญรุ่งเรืองต่อไป ซึ่งท่านก็ไม่ขัดศรัทธาแต่อย่างใด วัดร้างแห่งนี้มีโบสถ์เล็กๆอยู่ข้างเจดีย์ทรงสุโขทัยข้างในมีพระพุทธรูปองค์หนึ่ง เป็นรูปปางยืน ขนาดเท่าตัวคนจริง ประดิษฐานอยู่ท่ามกลางไม้เลื้อยเถาวัลย์ มีหยากไย่เกาะอยู่ทั่วองค์ และทั่วโบสถ์ ทำให้บรรยากาศอยู่อึมครึมขมุกขมัว ทำให้โบสถ์แห่งนี้ดูหน้ากลัวอย่างยิ่ง จนไม่มีใครกล้าเดินผ่านแม้เวลากลางวันซึ่งกาลต่อมา หลวงพ่อทองได้เริ่มลงพัฒนาซ่อมแซมโบสถ์แห่งนี้ใหม่จนสะอาดสะอ้าน จนความเจริญคืบคลานเข้ามา มีชาวบ้านเริ่มเข้ามาทำบุญ ช่วยหลวงพ่อสร้างวัดมากขึ้นเรื่อยๆมีคนมาขอบวชพระ บวชเณร จำนวนไม่น้อยเช่นกัน แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็อุบัติขึ้น เมื่อเกิดเหตุการณ์แปลกๆ นั้นก็คือ มีสามเณรที่วัดหายตัวไปอย่างลึกลับทีละคน ตอนแรกเจ้าอาวาสไม่ได้คิดอะไร คิดว่าสามเณรคงจะหนีกลับบ้าน เพราะว่ายังเด็กอยู่ อาจจะคิดถึงบ้านแต่ปรากฏว่าสามเณรก็ยังคงหายตัวไปเรื่อยๆ เจ้าอาวาสท่านก็เริ่มเอะใจ จนมาเป็นเรื่องตอนที่โยมพ่อโยมแม่ของสามเณรที่หายตัวไป มาที่วัดแห่งนี้ แล้วแจ้งกันหลวงพ่อว่า เณรเหล่านั้น ไม่ได้กลับบ้านแต่อย่างใด แล้วสามเณรเหล่านั้น หายตัวไปไหนกันช่วงนั้น พระผู้ดูแลโบสถ์มาบอกว่า เห็นเศษผ้าจีวรขาดๆ ไปติดอยู่ที่ปากพระพุทธรูปองค์ที่ยืนอยู่ในโบสถ์เก่า ข้างเจดีย์ทรงสุโขทัย ทั้งๆที่เอาออกหลายครั้งแล้ว ก็ยังมีมาติดใหม่อยู่เรื่องๆ
ทีแรกคิดว่าอาจจะมีใครมาเล่นพิเรนมากลั่นแกล้ง แต่มาสังเกตเห็นว่า พระพุทธรูปองค์นี้มีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าตอนแรก จากที่มีขนาดองค์เท่าคนจริง แต่ตอนนี้สูงประมาณสองเมตรได้
ตอนแรกท่านเจ้าอาวาสก็ไม่ได้ติดใจอะไร เพราะคิดว่าคงจะคิดมากไปเอง แต่ก็กำชับไม่ให้พระกับสามเณรออกมาข้างนอก ตอนยามวิกาล แต่จะเห็นได้ว่าสามเณรที่หายตัวไป ส่วนมากจะอยู่กุฏิแถวๆโบสถ์หลังเก่า
เหตุการณ์ประหลาดดังกล่าว ก็ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง สามเณรยังคงหายตัวไปอย่างลึกลับ จนเจ้าอาวาสรู้สึกผิดสังเกตมาก และแล้วจนกระทั้งวันหนึ่ง พระท่านที่เฝ้าโบสถ์วิ่งมาเรียกเจ้าอาวาสด้วยความตกใจ เรียกให้ท่านเจ้าอาวาสไปดูอะไรสักอย่าง ท่านเจ้าอาวาสก็รีบตามไป
เมื่อไปถึงที่โบสถ์ ก็ได้แต่ยืนตกตะลึง เพราะพระพุทธรูปองค์ดังกล่าว จากตอนแรกที่เป็นปางยืน ขณะนี้กลับเป็นปางนอน เป็นท่านอนตะแคง เอามือข้างหนึ่งดันเศียรเอาไว้ และขนาดก็ใหญ่ขึ้นอีก ใหญ่กว่าคนสามคน
และที่น่ากลัวก็คือ พบเศษจีวรติดอยู่แถวปากของพระพุทธรูปองค์นี้อีกเหมือนเคย เมื่อท่านเจ้าอาวาสเห็นเช่นนี้ก็ไม่รอช้า จัดเวรยามเฝ้าพระพุทธรูปองค์นี้จนเช้า วันรุ่งขึ้นก็ได้จ้างช่างประตู มาทำเป็นประตูเหล็กล้อมกรอบพระพุทธ ให้ขนาดใหญ่กว่าตัวพระพุทธรูปเล็กน้อย
นับจากนั้นก็ไม่มีเหตุการณ์สามเณรหายตัวไปอีกเลย เรื่องนี้ยังคงเป็นปริศนาลึกลับ ที่ยังไม่มีใครไขความจริงออกมาให้ได้รู้กัน จะจริงหรือเท็จ มันก็คือตำนานเล่าขานของวัดเขากบ และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด หรือบางทีเรื่องลึกลับในอดีตกาล อาจจะเป็นเพียงกุศโลบายที่ต้องการให้ผู้คนโดยเฉพาะเณร ไม่ออกไปเดินเล่นเพ่นพ่านในที่เปลี่ยว ยามวิกาล…ก็เป็นได้
“ตำนานพระกินเณร” เป็นเรื่องราวที่มีกำเนิดมาจากวัฒนธรรมไทยและได้ถูกนำเสนอในรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งมีหลายรูปแบบและเรื่องราวที่แตกต่างกันไปตามแต่ละพื้นที่และแหล่งที่มาของเรื่องนี้
ในเรื่องราวที่ส่วนใหญ่นิยมกันมากที่สุด พระกินเณรเป็นเด็กผู้ชายที่ได้รับการบำเพ็ญอุปการะจากพ่อแม่ แต่เขามีความอยากเรียนรู้สูงสุดและอยากทำตัวเป็นพระภิกษุ เขาเริ่มเดินทางไปยังวัดเพื่อขอเป็นเณร แต่ถูกปฏิเสธเนื่องจากเป็นเด็กขี้เล่นและไม่จริงจังในการศึกษาธรรม. พระอรหันต์ อดีตพระมหาสุจิตกฐิน เห็นพระกินเณร และรู้สึกเสียดายต่อเด็กน้อยที่มีความปรารถนาจริงจัง จึงเข้าไปอบรมและสอนเรียนพระกินเณรอย่างจริงจัง เมื่อเขากลับมาที่วัดใหม่เป็นเณร พระอรหันต์ได้ให้เขานามว่า “กินเณร” เนื่องจากเคยท้องแท้เพราะอยากกินข้าว.
ต่อมาพระกินเณรมีชีวิตอยู่ในวัดโดยศึกษาธรรมและทำบุญอย่างจริงจัง ในที่สุดเขาก็ตายและมีความสุขไปกับการเป็นเณรของเขา
เรื่องราวนี้เป็นอีกหนึ่งตำนานที่สอนให้เรารู้จักความสำคัญของการมีความปรารถนาและความตั้งใจ และแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการศึกษาธรรมและการอบรมในการเป็นบุญชาวัดในวัฒนธรรมไทย.