เรื่องสยองของค่ำคืนนี้
ความเงียบปกคลุมไปชั่วครู่ก่อนที่จะมีเสียงถามขึ้นมาอีกว่างั้นแน่ใจแล้วหรอที่จะสาปแช่งแม่ตัวเอง.... สวัสดีวัยรุ่นทุกคนและผู้ที่อ่านทุกท่าน อย่าเสียงดังไปเพราะวันนี้เราจะมาในตรีมเรื่องสยองยามค่ำคืน วันนี้เราอยู่กับผู้เขียนคนเดิมแต่ไม่ได้อยู่กับคุณหญ้าดอกขาว วันนี้เราอยู่กับคุณดรัคไลฟ์ วันนี้ผมแค่เห็นเนื้อเรื่องผมก็ถึงกับต้องหยิบมาเล่าในครั้งนี้เลย มาในชื่อเรื่องว่า ‘กฎการขึ้นลิฟท์ต้องคำสาป’ บอกเลยว่าน่าสนใจสุดสุดอะไรที่มันเป็นเรื่องที่น่ากลัว อะไรคือเรื่องต้องคำสาป ใครที่เป็นโรคกลัวที่แคบและกำลังอ่านเรื่องนี้อยู่คุณอาจจะอินมากกว่าคนอื่นก็เป็นได้ เพื่อไม่เป็นการเสียเวลาไปรับชมกันได้เลย ณ โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง เสียงหวอรถพยาบาลกับแสงสีแดงสลับกับสีน้ำเงินผลัดกันเข้ามาในตาม่านของผมเต็มไปหมด ผมที่นอนแน่นิ่งอยู่กลางท้องถนนนั้นสัมผัสได้ถึงผู้คนมากมายกำลังมุมดูล้อมตัวผมอยู่เต็มไปหมด ผมไม่แม้แต่ที่จะขยับตัวเพราะร่างกายผมมันชาไปหมด เจ็บเหลือเกิน แสงขาวสอดส่องเข้ามาที่หน้าผมพร้อมกับลมหายใจที่แผ่วลงผม ณ ตอนนั้นที่จะพยายามรวบรวมสติอยู่ก็รู้สึกว่าสติของผมนั้นค่อยค่อยดับลง ดับลง ดับลง จนเวลาผ่านไปกว่าสองเดือน เวลาผ่านมาสองเดือนแล้วครับตอนนี้ผมได้รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งหลังจากเกิดเหตุการณ์ในวันนั้นทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปหมดเลย แม้จะเป็นเรื่องที่โชคดีที่ร่างกายส่วนอื่นยังสามารถรักษาเยียวยาได้ให้กลับมาสู่ปกติ เว้นแต่ขาซ้ายของผมที่ตอนนี้ถูกดามด้วยเหล็กหมอบอกว่าผมอาจจะกลับไปเดินแบบคนปกติไม่ได้ตลอดชีวิต และไม่ใช่แค่นั้นตาขวาของผมที่เคยมองเห็นทุกอย่างตอนนี้มันมืดสนิทเนื่องจากเศษพลาสติกของหมวกกันน็อกได้ทิ่มเข้าไปที่ดวงตาจนมันทำให้ตาผมบอดสนิทไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตัวเองความรู้สึกของผมตอนนี้มันเหมือนฝันที่แตกสลายเหมือนกับรอบด้านมันมืดลงแบบดับสนิทผมรู้สึกหม่นหมองที่สุดคือตั้งแต่ที่ผมลืมตาขึ้นมา หลังจากที่เกิดอุบัติเหตุผู้หญิงที่ผมเรียกว่าแม่ก็ไม่พูดดีกับผมอีกเลยเพราะแม่มักจะชอบพูดว่า “ถ้าไม่ใช่เพราะแกเงินที่มีอยู่ตอนนี้ก็คงไม่หายไปมากขนาดนี้หรอกทำไมแกไม่ตายตายเป็นซะมันนอนเอ็งเม้งอยู่ในโรงพยาบาลทำไม เสียดายค่ารักษาโว้ย” คำด่ามากมายถูกถ่ายทอดออกจากปากผู้เป็นแม่ของผมเองทุกวันทุกคืนจนถึงทุกวันนี้ ผมออกจากโรงพยาบาลมาได้สักพักนึงแล้วครับแต่จิตใจของผมยังไม่รู้สึกถึงแสงสว่างเลยครับ ขาที่เคยเดินได้หนังคนปกติตอนนี้ก็ต้องใช้ไม้ขำเพื่อช่วยพยุงเดินดวงตาขวาที่มืดบอดสนิทบอกเลยว่ามันเหมือนกับจิตใจของผมตอนนี้ที่มืดหม่น แม้ยุคนี้จะมีเทคโนโลยีที่ผมนั้นสามารถเรียนออนไลน์แล้วอยู่บ้านได้จนกว่าผมจะพร้อมถึงอย่างนั้นแม่ก็ไม่แม้แต่ที่จะถามผมเลย ว่าเจ็บตรงไหนไหม เป็นอะไรไหม ไม่มีแม้กระทั่งคำปลอบโยน แม่เปลี่ยนไปเป็นคนละคนเลยทุกทุกวันนี้จิตใจของผมก็เต็มไปด้วยคำเซียนหนามคำด่าทอคำเสียดแทงจากแม่ผมแทบไม่มีกำลังใจที่จะมีชีวิตอยู่ต่อก็ว่าได้ มันไร้แสงไฟไร้ผู้คนมาเติมเต็มความรู้สึกจนบางครั้งผมนั้นรู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้หายไปจากชีวิตได้ก็คงจะดี “หากแกตายๆ ไปตั้งแต่วันนั้น ฉันคงมีความสุขมากกว่านี้ ฉันคงมีความสุขมากกว่านี้หลายพันเท่าเลย ไม่มีลูกเหี้ยอย่างแกตอนนี้ฉันคงสบายไปแล้ว แกไม่เคยฟังฉันเลย ฉันไม่มีแกตั้งแรกซะยังดีกว่า” นั่นคือคำพูดที่ออกมาจากปากคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นแม่ของผม ผมได้แต่ตั้งคำถามกับพระเจ้าครับผมผิดมากขนาดนั้นเลยเหรอเกือบสามเดือนที่ผมโดนด่าโดนไล่ราวกับไม่ใช่คนราวกับผมนั้นไม่ใช่ลูกของเธอ ไร้ซึ่งกำลังใจจากคนที่เป็นแม่ คืนนั้นผมโมโหจนสติแตก ตวาดใส่แม่กลับไปด้วยความสุดจะทนด้วยถ้อยคำที่หยาบคายจนถูกแม่ใช้ไม้ฟาดเข้าอย่างแรงทั้งทั้งที่ผมเป็นคนพิการไปแล้วก็ตาม แต่ยังโชคดีที่ฟาดไม่โดนแค่เฉียดผมไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น วันนั้นผมไม่สนอะไรอีกต่อไปแล้ว ผมเดินออกจากบ้านอย่างทุลักทุเลโดยมีไม้เท้าพยุงสองอันออกจากบ้านไปด้วยความคิด ความโกรธแค้น มีแม่ที่ไหนเค้าทำกับลูกแบบนี้ เกลียด เกลียด เกลียด เกลียด ฉันเกลียดแม่แบบนี้ที่สุดเลย ผมแทบอยากจะฆ่าเธอด้วยซ้ำ แต่ผมนั้นไม่อยากตัดอนาคตของตัวเองไปมากกว่านี้แล้ว แม้ตอนนี้อนาคตที่เหลืออยู่นั้นแทบจะพังทลายไปหมดแล้วก็ตาม ผมมุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่ไปเจอในอินเตอร์เน็ตเมื่อหลายวันก่อน มันคือตึกร้างที่อยู่กลางเมือง เพราะสิ่งที่ผมเจอในอินเตอร์เน็ตวันนั้นก็คือ กฎการใช้ลิฟท์ต้องคำสาปตึกใจกลางเมืองนั่นเอง ผมเคยได้ยินเรื่องราวของตึกร้างแห่งนี้มาบ้างก่อนที่มันจะถูกทิ้งร้างนั้นมันเคยเป็นโรงแรมมาก่อน เรื่องมันเกิดจากชายเจ้าของโรงแรมแล้วแอบเอาชู้รักของตนมาร่วมรักในโรงแรมแห่งนี้ก่อนที่ภรรยาของตนจะมาเจอเข้า เธอเสียใจหนักมากก่อนที่จะกล่าวคำสาปแช่งสามีตนเองอย่างหนักหลังจากคืนนั้นเธอก็ได้ฆ่าตัวตายลงในลิฟท์ของโรงแรมแห่งนี้อย่างน่าสยดสยองสะอิดสะเอียน สุดท้ายโรงแรมแห่งนี้ก็ถูกปิดตัวลงนั่นเอง หลังจากที่ผมได้มาถึงที่โรงแรมแพลมแห่งนี้นั้นผมก็ได้เจอกระดาษแผ่นนึงแปะไว้ที่หน้าโรงแรมพอดีซึ่งกระดาษแผ่นนั้นได้เขียนไว้ว่า คิดว่าคุณคงเคยได้ยินเกี่ยวกับเรื่องของลิฟท์ในที่แห่งนี้กันมาบ้างแล้ว ในตอนนี้ลิฟท์แห่งนี้กลายเป็นดังแรงขับเคลื่อนคำสาป เพียงคุณปรารถนาที่จะสาปแช่งไข่จงไปที่ลิฟท์แห่งนี้และทำตามกฎเหล่านั้นให้สำเร็จลุล่วง แต่ขอให้คุณตระหนักไว้อย่างหนึ่งคำสาปมันเรียกร้องค่าตอบแทนสูงเสมอ ตัวผมเองที่ได้อ่านแบบนั้นก็รู้สึกช่างหนักใจแต่เมื่อผมตั้งใจที่จะมาด้วยความความเครียดแค้นผมไม่สนอะไรทั้งนั้น ผมเริ่มอ่านตั้งแต่กฎข้อแรก ข้อที่หนึ่ง หลังจากที่คุณเข้าไปในตึกร้างแล้วคุณก็จะได้พบกับ Lyft ที่คุณต้องการไม่ต้องกังวลว่าจะหาไม่เจอตึกแห่งนี้มีลิฟท์เพียงสองตัวและสามารถใช้ได้ทั้งคู่เพียงแต่หักไปในตอนเช้า Lyft จะอยู่ในสภาพที่ใช้การไม่ได้เวลาที่ลิฟท์จะทำงานคือหลังจากเวลาสามทุ่มจนถึง 6 โมงเช้า ข้อที่สอง เมื่ออยู่ตรงหน้าลิฟท์ตามเวลาที่ถูกต้องแล้วสิ่งแรกเลยหากระดาษมาหนึ่งแผ่นแล้วเขียนชื่อนามสกุลของคนที่คุณต้องการจะสาปแช่งให้เรียบร้อยก่อนจะกดปุ่มเปิดลิฟท์ ข้อที่สาม หลังจากที่ประตูลิฟท์เปิดออกแล้วให้นำกระดาษที่มีชื่อของคนที่คุณต้องการสาปแช่งทิ้งลงในลิฟท์ ก็ถือเป็นการเริ่มพันธสัญญาเรียบร้อยแล้ว ข้อที่สี่ ลิฟท์จะพาคุณเคลื่อนชั้ นมันอาจจะรุนแรงและใช้เวลาสักหน่อยแต่ไม่ต้องเป็นกังวล หลังจากนั้นลิฟท์ก็จะเปิดออก คุณจะพบกับทางเดินในโรงแรมที่ทั้งชั้นกลายเป็นสีแดงสิ่งที่คุณต้องทำคือเดินออกจากลิฟท์และเดินหาประตูที่มีชื่อของคนที่คุณเขียนเอาไว้ในกระดาษให้คุณเปิดประตูเข้าไปในนั้นคุณจะเห็นความรู้สึกของคุณ คุณสามารถดูได้จนกระทั่งรู้สึกว่าห้องถูกดูดกลืนด้วยความมืด เมื่อรู้สึกเช่นนั้นจงรีบปิดประตูในทันที  คุณต้องหาประตูที่มีชื่อนั้นทั้งหมดสามบานเมื่อครบแล้วก็จงรีบกลับเข้าลิฟท์ทันที ข้อที่ห้า หลังจากกลับเข้ามาข้างในลิฟท์แล้วให้กดปิดลิฟท์ทันทีรีบจะพาคุณดำเนินสู่ชั้นต่อไปเมื่อประตูลิฟท์เปิดออกครั้งนี้คุณจะพบว่าคุณอยู่ในห้องของใครซักคนให้ค่อยค่อยเดินเข้าไปช้าๆ ในนั้นอาจจะได้เห็นภาพที่น่ากลัวสักหน่อยแต่ขอรับประกันว่าคุณจะปลอดภัยอย่างแน่นอน จะมีโต๊ะตัวหนึ่งวางอยู่และมีเทียนวางอยู่ตรงหน้าให้คนไปนั่งตรงนั้น ข้อที่หก คุณจะได้ยินเสียงของใครบางคนดังขึ้น เป็นเสียงของผู้หญิงและบางครั้งคุณจะได้เห็นเธอปรากฏตัวอย่าได้กลัวไปเธอจะถามคุณเกี่ยวกับคนที่คุณต้องการจะสาปแช่งรวมถึงเหตุผลให้คุณตอบทุกคำถามที่เธอถามมา ข้อที่เจ็ด นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุดเธอจะเรียกร้องผลประโยชน์หรือสิ่งที่คุณต้องเสียเพื่อให้คำสาปทำงานโดยคำตอบที่เหลืออยู่ของคุณก็จะมีเพียงแค่ตกลงกับปฏิเสธเท่านั้นหากรู้สึกว่าไม่โอเคคุณสามารถขอปฏิเสธการสาปแช่งนั้นได้และเป่าเทียนเพื่อยกเลิกสัญญา เช่นเดียวกับการที่คุณตอบตกลงก็ให้เป่าเทียนเป็นการผูกสัญญาเช่นกัน จะมีบางครั้งเธออาจจะไม่เรียกร้องอะไรเลย แต่ไปโอกาสที่น้อยมากๆ และนี่ก็คือข้อกำหนดทั้งหมดที่คุณต้องทำ หลังจากที่คุณนั้นทำพันธสัญญาคำสาปที่คุณสร้างขึ้นนั่นเองซึ่งคำศัพท์นี้จะมีผลทันทีขอให้จำไว้อย่างหนึ่งว่าก่อนที่จะสาปแช่งใคร จงคิดไตร่ตรองให้ดีที่สุด ไม่เช่นนั้นจะเป็นตราบาปไปจนชั่วชีวิตของคุณ และนั่นคือข้อกำหนดที่เขียนไว้ในกระดาษแผ่นนั้น ซึ่งต้องบอกเลยว่าในความคิดของผมตอนนี้ผมยังไม่ยกเลิกที่จะสาปแช่งแม่ตนเอง เพราะความเครียดแค้นนี้ มันสะสมมาเกือบทั้งชีวิตจริงๆ ชีวิตของผมนั้นไม่ต้องการคำด่าจากใครอีกต่อไปแล้วแล้วคนที่ผมจะเขียนชื่อลงไปนั้น ก็คือแม่ของผมนั่นเอง ณ ตอนนี้ผมได้เขียนชื่อแม่ของผมลงในกระดาษเรียบร้อยแล้ว และผมก็ได้เดินเข้ามาในตึกร้างแล้วด้วย ณ ตอนนี้ผมได้เดินหาลิฟท์ทั้งสองตัวอยู่ ปรากฏว่าที่ผมนั้นได้เดินไปเดินมาอยู่นั่น ก็ได้มาเจอลิฟท์ตัวหนึ่งเค้าให้ แต่ลิฟท์ตัวนี้นั้นดูเหมือนว่าจะพังไปเสียแล้วแล้วทันใดนั้นเองเสียงนาฬิกาเตือนบนข้อมือของผมมันได้ดังขึ้น ซึ่งตอนนี้เป็นเวลาเป็นเวลาสามทุ่มตรงแล้วมันก็ตรงกับในใบของข้อกำหนดที่ว่าลิฟท์จะสามารถใช้งานได้ในเวลาสามทุ่มถึง 6 โมงเช้า ผมแทบไม่อยากจะเชื่อสายตาตนเองเลย เพราะจู่จู่ลิฟท์ที่คิดว่ามันน่าจะพังไปแล้วตรงหน้าของผมนั้น ไฟแสดงสถานะได้ติดขึ้นตรงเวลาสามทุ่มพอดิบพอดี มันกลับมาใช้งานได้อีกครั้ง ผมแทบจะไม่เชื่อสิ่งที่ผมได้เห็นอยู่ตรงหน้านั้น ผมก็ได้ทำการถือกระดาษที่เขียนชื่อแม่ของผมนั้นไว้เดินเข้าไปในลิฟท์อย่างไม่ลังเลใจ หลังจากที่ผมได้เดินเข้ามาในลิฟท์แล้วประตูลิฟท์ก็ค่อยค่อยปิดลงอย่างเชื่องช้า ในตอนที่ผมย่างก้าวเข้าไปนั้นรู้สึกกังวลเล็กน้อยแต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องสลัดความกลัวที่มี ผมใช้ไม้ค้ำยันทั้งสองพยายามทรงตัวให้อยู่เพราะภายในลิฟท์นั้นมันดูใหม่ผิดกับสภาพตึกภายนอก ความรู้สึกของผมในตอนที่ประตูลิฟท์ได้ปิดลงเหมือนผมได้ตัดขาดจากโลกภายนอกไปอย่างสิ้นเชิง