“ห้องสนิม” เรื่องเล่าผี
เรื่องเล่าผีเรื่องนี้ย้อนกลับไปเมื่อ 33 ปีที่แล้ว ในตอนนั้นคุณจิรา รุ่นพี่ของคุณแป้งเป็นนักศึกษาปี 3 ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง และกำลังลงเรียนในวิชาที่ศึกษาวิจัยด้านภาษาท้องถิ่น นอกจากนี้วิชาที่ว่ายังจำเป็นต้องลงภาคสนามเพื่อไปเก็บข้อมูลถึงสถานที่จริง โดยคุณจิราและเพื่อนอีก 3 คน คือ กิ๊บ นุช และวิรุณ ตกลงกันว่าจะเลือกพื้นที่หนึ่งในจ.สระแก้วเป็นเป้าหมายการค้นคว้าเมื่อถึงวันที่ต้องออกเดินทาง คณะนักศึกษาทั้ง 4 เดินทางแต่เช้ามืดและถึงที่หมายในช่วงสายของวัน แล้วจัดแจงเช็คอินเพื่อเข้าพักในโรงแรม วันถัดมาก็ตกลงกันลงขันจ้างรถที่ทางโรงแรมให้บริการ โดยที่มีแพลนว่าจะลงภาคสนามเพื่อรวบรวมข้อมูลกันใน 2 พื้นที่คืออ.อรัญประเทศ ซึ่งมีพื้นที่ติดชายแดนและเป็นที่ตั้งของตลาดชื่อดังอย่าง “โรงเกลือ” กับอีกพื้นที่นึงคืออำเภอข้างเคียงกัน ซึ่งที่นี่เองเป็นที่มาของเรื่องเล่าอันน่าสะพรึงเกินกว่าจะจินตนาการได้ อย่างไรก็ตาม เพื่อนๆลงความเห็นกันว่าเราจะไปยังอำเภอ “ข้างเคียง” ดังกล่าวมาก่อน แล้วค่อยไปจบที่อรัญประเทศ โดยคาดหวังว่าจะได้เดินตลาดซื้อของฝากกันหลังจากเสร็จกิจธุระตอนขากลับหลังไปถึงอำเภอที่ว่าแล้ว จุดสำรวจแรกคือวัดแห่งหนึ่ง ซึ่งดูเหมือนจะจัดงานผ้าป่ากฐินอยู่ จึงแวะลงไปสักการะบูชาและทำรีเสิร์ชกันอยู่ราว 2 ช.ม. ก็ผละออกมา จนกระทั่งพบหมู่บ้านแห่งหนึ่งไม่ไกลออกไปนัก ก็นัดแนะกับคนขับรถที่จ้างมาว่า จะอยู่ทำงานที่หมู่บ้านแห่งนี้ 2-3 ช.ม. สักสี่โมงเย็นค่อยกลับมารับพวกตนใหม่ที่จุดนัดหมายซึ่งนัดแนะกันไว้ล่วงหน้า เพราะกว่า 30 ปีที่แล้ว ระบบโทรคมนาคมยังไม่สะดวกรวดเร็วเหมือนกับตอนนี้ ยิ่งด้วยเป็นพื้นที่ห่างไกลเมืองด้วยแล้ว การนัดหมายให้ชัดเจนจึงสำคัญคณะนักศึกษาพากันเดินเข้าไปยังหมู่บ้าน ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากวัด อย่างไรก็ตามหมู่บ้านที่ว่านับว่าเป็นชุมชนขนาดใหญ่เอาเรื่อง เมื่อผ่านเข้าไปจะพบกับเรือนผู้ใหญ่บ้าน ซึ่งเป็นที่ทำการประกอบกิจของหมู่บ้านด้วย หากเดินเข้าไปตามทางก็จะพบว่าบ้านแต่ละหลังในหมู่บ้านนี้มีสัมมาอาชีพเป็นช่างต่างๆกัน ไม่ว่าจะเป็นช่างไม้ ช่างเหล็ก และงานผลิตสินค้าที่ใช้ความชำนาญ ดูแล้วเป็นชุมชนตัวอย่างเลยทีเดียว นับว่าเป็นโชคดีของกลุ่มนักศึกษาที่เลือกจะมาเก็บข้อมูลวิจัยกันที่นี่ เพราะนอกจากมีวัตถุดิบข้อมูลที่สะท้อนความเป็นอยู่ของคนในชุมชนแล้ว ลูกบ้านต่างก็ยิ้มแย้มทักทายอย่างเป็นกันเอง
หลังคณะวิจัยขอความร่วมมือศึกษาและรวบรวมข้อมูลผ่านการสัมภาษณ์ผู้คนในท้องที่ ผู้ใหญ่บ้านก็มีน้ำใจชวนคณะไปรับประทานอาหารกลางวัน ตั้งวงกับข้าวกับปลากันบริเวณชานเรือนอย่างเรียบง่ายเป็นกันเอง ขณะที่เวลามีแขกไปใครผ่านมา ผู้ใหญ่ก็จะโบกมือเรียกมาแบ่งแกงพะโล้ของแกไปทาน จิราและเพื่อนเห็นภาพแบบนี้ก็รู้สึกว่าคิดไม่ผิดที่ได้มาที่นี่กระทั่งการมาของชายคนหนึ่ง จิราและนักศึกษาสังเกตเห็นชายร่างผอมสูงท่าทางมอมแมมในชุดขาดวิ่นเป็นริ้ว ผมเพ้ากระเซิงราวคนจรจัด เดินผ่านมาจากทางเข้าหมู่บ้าน แล้วมานั่งอยู่ที่ข้างบ้านหลังหนึ่ง ไม่ไกลจากที่คณะนักศึกษานั่งทานข้าวอยู่นัก ผู้ใหญ่ที่ร่วมวงอยู่ด้วยกันคงสังเกตเห็นว่าคณะนักศึกษากำลังเพ่งความสนใจไปที่ชายนิรนามที่ว่า จึงเอ่ยปากขึ้นแม้ไม่มีใครทักถาม
“หมอนี่มันชื่อเมืองมน… เมืองมนคนผีบ้าน่ะ”
“เป็นลูกชายของหมอขวัญใกล้วัดแถวๆนี้แหละ เมื่อก่อนมันก็ดูดีเป็นผู้เป็นคนอยู่หรอก”
“แต่ก่อนนับว่ามันหล่อเหลาเอาการ กระทั่งมันไปชอบพอนางโนรี ลูกสาวป้าคล้าย ช่างทำเสื่อที่นั่งอยู่ตรงนั้น แต่อกหักกลับมา…”
“ก็เพราะว่านางโนรีมีเสี่ยสิบ นายหน้าค้าที่ดินที่บังเอิญมาทำกิจธุระแถวนี้มาชอบพอเค้าน่ะสิ สุดท้ายก็ตกลงปลงใจไปอยู่ด้วยกัน ลงเอยด้วยดี จนตอนนี้นางโนรีมันคงสบายไปแล้ว”
“แต่ไอ้เมืองมนน่ะสิ คงจะเฮิร์ทเอาเรื่อง ทำใจไม่ได้จนเสียผู้เสียคน เพี๊ยนจนเลอะเลือนไปเลย…”
เนื่องจากจิราและเพื่อนๆเป็นนักศึกษา ยังหนุ่มยังสาวอยู่จึงสนใจในเรื่องรักๆใคร่ๆเป็นธรรมดา เลยชวนคุยกันอย่างออกรส หนึ่งในนั้น..นุชก็ถามขึ้นแทนใจของทุกคนว่า
“แม่โนรีคนนี้คงจะสะสวยมากเลยนะ ถึงกับทำหนุ่มหลงหัวปักหัวปำ อกหักจนเป็นบ้าเป็นหลังได้ขนาดนั้น”
ทันใดนั้นเองภรรยาของผู้ใหญ่บ้านก็พูดขึ้นมาอย่างรู้งาน…
“หน้าตาพิลึกสิไม่ว่าหนูเอ๊ยย ไม่เหมือนชาวบ้านชาวเมือง”
“เป็นผู้หญิงแท้ๆแต่สูงชะลูด แขนขาเก้งก้าง ผมก็แดงยังกับอิฐ ตาเหลืองผิวซีดๆ มีกระๆขึ้นเต็มหน้า”
จิราก็กับเพื่อนก็พูดแทบจะเป็นเสียงเดียวกันว่า… นี่มันลักษณะของฝรั่งต่างชาติ ลูกครึ่งชัดๆ ภรรยาผู้ใหญ่ก็อธิบายเสริมเติมความว่า… ยายคล้าย แม่ของโนรี อุ้มท้องโย้ย้ายมาจากสัตหีบเมื่อหลายปีก่อนมาอยู่ที่นี่ เดิมทีบ้านนั้นยังมีตาพุ่มอาศัยอยู่ แต่หลังคลอดได้ปีนึง ตาพุ่มก็มาเสีย จนยายคล้อยต้องตกระกำเลี้ยงลูกตัวคนเดียวด้วยการหาของป่าขาย
“พอตอนหลังนางโนรีมีผัวเป็นเสี่ยนั่นแหละ ถึงได้มีเงินมาปลูกบ้านใหม่อย่างที่เห็น”
ขณะที่นั่งฟังเรื่องเล่าเมื่อครั้งอดีตของสาวผู้เป็นต้นเหตุให้ชายคนหนึ่งเสียสติ จิราก็สังเกตเห็นคนในบ้านช่างตีเหล็ก เอากับข้าวในชามไปให้ผู้ชายคนที่ว่า แต่จู่ๆเมืองมนก็เกิดร้องโหวกเหวกคุ้มคลั่งขึ้นมาอย่างกับเห็นผีร้าย ปัดชามคว่ำกระเด็น แล้ววิ่งหนีหายเข้าไปด้านในที่ที่ใช้เก็บข้าวของเครื่องมือช่าง ชาวบ้านต่างพากันวิ่งไปเพื่อคุมตัวเมืองมน เนื่องจากเกรงว่าหากปล่อยทิ้งไว้อาจจะเผลอไปทำร้ายคนอื่นๆได้วิรุณชายหนุ่มคนเดียวในคณะนักศึกษาก็เข้าไปช่วยด้วย เลยได้เห็นอย่างชัดเจน ว่าเมืองมนอยู่ในสภาพที่น่าอดสูเพียงใด เขานั่งขดตัวซุกอยู่กับมุมหนึ่งในห้องที่คล้ายกับตู้คอนเทนเนอร์ที่ถูกจับด้วยสนิมเป็นสีแดงน้ำตาลคล้ำหนา จนดูเผินๆคล้ายกับกล่องเหล็กขนาดใหญ่ที่ถูกฉาบไปด้วยสีชาด เมื่อสังเกตดูดีๆจะพบว่ามันถูกสร้างขึ้นจากการนำแผ่นเหล็กมาก่ออย่างหยาบๆเหนือพื้นดิน โดยที่พื้นยังคงเป็นดินเปลือย ภายในห้องดูเหมือนใช้เป็นที่เก็บอุปกรณ์ช่างต่างๆที่ทำจากโลหะกองสุมกันอยู่ แต่มีสิ่งที่สะดุดตาในห้องสนิมเขลอะคือ ตรงกลางห้องแท่นปูนขนาดประมาณโต๊ะเล็กๆถูกก่อขึ้นมา ด้านบนนั้นมีอาวุธของมีคมอย่างมีดและดาบวางสุมไขว้กันเป็นกระโจมย่อมๆ แม้ห้องที่ว่าจะดูแปลกประหลาดแต่ก็ไม่ได้ถึงกับติดใจอะไรเขาไปมากกว่า สถานการณ์ของเมืองมนชายสติฟั่นเฟือนตรงหน้า ในที่สุดก็ดูเหมือนจะสงบลง ทุกคนจึงปล่อยให้เขานั่งร้องไห้อย่างเงียบๆอยู่ในห้องนั้นคนเดียว
จุดเริ่มต้นของเรื่องเล่าผีที่น่ากลัวที่สุด… “คนบ้ากับห้องสนิมประหลาด”
หลังเสร็จงานเรียบร้อย ก็นั่งรอรถมารับกระทั่งได้เวลานัดหมาย แต่จนแล้วจนเล่าเวลาล่วงเลยไป 6 โมงเย็นก็ไม่มีทีท่าว่าจะมีรถมารับ จึงขอยืมโทรศัพท์โทรไปยังโรงแรมจากบ้านผู้ใหญ่ วิรุณคุยกับทางนั้นได้ความว่ารถเกิดเสียกระทันหัน และจะส่งรถคันอื่นออกไปรับแทน เนื่องจากดูท่าว่าจะใช้เวลาซ่อมแซมนานกว่าที่คิด ยังไม่ทันจะได้ข้อสรุปผู้ใหญ่บ้านก็เชิญชวนด้วยอัธยาศัยว่าทำไมไม่อยู่ค้างคืนซะที่นี่เลยล่ะ เนื่องจากหมู่บ้านชุมชนแห่งนี้อยู่ห่างจากโรงแรมกว่า 30 ก.ม. อีกทั้งคืนนี้จะมีงานสังสรรค์กันภายในชุมชน เพื่อนๆฟังแล้วก็รู้สึกว่าน่าสนุก จึงตัดสินใจค้างกันที่นี่คืนนึง โดยนัดให้โรงแรมมารับในเช้าวันรุ่งขึ้นแทนคืนนั้นคณะนักศึกษาอยู่กินเลี้ยงกับชาวบ้านกันบริเวณลานหน้าบ้านผู้ใหญ่ กระทั่งตกดึกต่างก็แยกย้ายกันกลับบ้านใครบ้านมัน โดยที่คืนนั้นจิราและเพื่อนๆได้ภรรยาผู้ใหญ่เป็นธุระจัดห้องหับให้นอนรวมกันที่บ้านหลังหนึ่งใกล้กับเรือนผู้ใหญ่ กลางคืนที่นี่เงียบสงัดจนแทบได้ยินเสียงหายใจชัดเจน อย่างไรก็ตามก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาทำลายความเงียบนั้น จิราได้ยินเสียงบางอย่างกระทบกันดังตุบๆๆเป็นจังหวะช้าๆ ราวกับมีคนใช้ค้อนทุบกับผนังหรือพื้นอะไรสักอย่าง เสียงนั่นยังคงดังต่อไป และดูเหมือนต้นกำเนิดเสียงจะอยู่ห่างออกไป จิราไม่ได้รู้สึกแปลกอะไรหากจะมีเสียงใครลุกขึ้นมาทำงานกลางดึก ในหมู่บ้านของช่างฝีมือเช่นที่นี่ จึงคล้อยหลับไป จนมาตื่นอีกทีเพราะอยากเข้าห้องน้ำ แต่ครั้นจะไปเข้าคนเดียวก็เกิดนึกกลัวขึ้นมา เนื่องจากห้องน้ำแยกอยู่ข้างนอกตัวบ้าน เลยปลุกนุชที่นอนอยู่ใกล้ๆลุกออกไปเป็นเพื่อน ด้านนอกทั้งมืดและเย็นเยียบ แต่สิ่งที่ปลุกเร้าสัมผัสของทั้งคู่กลับเป็นเสียงตุบๆๆ ที่ยังคงดังอยู่ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่คืนนั้นคณะนักศึกษาอยู่กินเลี้ยงกับชาวบ้านกันบริเวณลานหน้าบ้านผู้ใหญ่ กระทั่งตกดึกต่างก็แยกย้ายกันกลับบ้านใครบ้านมัน โดยที่คืนนั้นจิราและเพื่อนๆได้ภรรยาผู้ใหญ่เป็นธุระจัดห้องหับให้นอนรวมกันที่บ้านหลังหนึ่งใกล้กับเรือนผู้ใหญ่ กลางคืนที่นี่เงียบสงัดจนแทบได้ยินเสียงหายใจชัดเจน อย่างไรก็ตามก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาทำลายความเงียบนั้น จิราได้ยินเสียงบางอย่างกระทบกันดังตุบๆๆเป็นจังหวะช้าๆ ราวกับมีคนใช้ค้อนทุบกับผนังหรือพื้นอะไรสักอย่าง เสียงนั่นยังคงดังต่อไป และดูเหมือนต้นกำเนิดเสียงจะอยู่ห่างออกไป จิราไม่ได้รู้สึกแปลกอะไรหากจะมีเสียงใครลุกขึ้นมาทำงานกลางดึก ในหมู่บ้านของช่างฝีมือเช่นที่นี่ จึงคล้อยหลับไป จนมาตื่นอีกทีเพราะอยากเข้าห้องน้ำ แต่ครั้นจะไปเข้าคนเดียวก็เกิดนึกกลัวขึ้นมา เนื่องจากห้องน้ำแยกอยู่ข้างนอกตัวบ้าน เลยปลุกนุชที่นอนอยู่ใกล้ๆลุกออกไปเป็นเพื่อน ด้านนอกทั้งมืดและเย็นเยียบ แต่สิ่งที่ปลุกเร้าสัมผัสของทั้งคู่กลับเป็นเสียงตุบๆๆ ที่ยังคงดังอยู่ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่
ถึงแม้จะสงสัยอยู่ในที แต่ก็ไม่กล้าพอที่จะทักขึ้นหรือถามออกไป ความอยากรู้อยากเห็นบางทีก็นำมาซึ่งเรื่องยุ่งยาก กระทั่งพบว่าทางไปห้องน้ำต้องผ่าน “ห้องสนิม” ที่ทั้งคู่เห็นเมื่อกลางวัน พอมาดูอีกทีในตอนกลางคืนเช่นนี้ มันดูน่าสยดสยองกว่าเดิมมาก ตู้เหล็กผุกร่อนสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดใหญ่ ที่ปกคลุมไปด้วยคราบสนิมหนาเตอะจนเหมือนถูกสาดไปด้วยสีชาดของโลหิต จนอดคิดไม่ได้ว่ามันดูไม่น่ามองเอาเสียเลย ทำไมเขาถึงไม่หาอะไรมาคลุมมาปิดมันหรือจะรื้อแล้วลงทุนทำให้มันดูดีเป็นกิจลักษณะกว่านี้หลังกลับจากเสร็จธุระห้องน้ำ ขากลับทั้งคู่เดินผ่านห้องสนิมอีก แต่คราวนี้ทั้งคู่กลับสังเกตเห็นรอยอะไรบางอย่างที่ผิวผนังของกล่องเหล็ก พอจ้องมองดูดีๆก็เกือบจะลืมหายใจ เพราะรอยมันดูราวกับเป็น “ใบหน้ามนุษย์” ที่ใหญ่โตกว่าปกติเป็นเท่าตัว ปูดโปนยื่นออกมาอย่างกับดูหนังผีสามมิติ ใบหน้านั้นดูเหมือนกับรวมเป็นแผ่นเดียวกับผนังสนิมสีชาด อ้าปากหวอแล้วส่ายไปส่ายมาเหมือนกับอะไรบางอย่างด้านในตู้พยายามที่จะทะลุออกมา ภาพที่ไม่น่าเป็นไปได้ตรงหน้าทำเอาสองสาวนักศึกษาได้แต่ยืนอึ้งงัน แม้แต่นิ้วก็ไม่อาจกระดิกกระเดี้ยวตามใจคิดได้ แต่สิ่งที่ทำให้ทั้งคู่แทบล้มทั้งยืน คือการปรากฏตัวโดยไม่คาดคิดของ “เมืองมน” ชายวิกลจริตที่ดูจะผูกพันกับตู้เหล็กพิศดารนี่ โผล่ออกมาจากในตู้ เขาเดินหัวเราะร่าอย่างอารมณ์ดีราวเสียสติ ก่อนที่จะเดินหายลับไปในความมืดบนถนนยามค่ำคืน จิราส่งเสียงกรีดร้องสุดแรง แต่มันดังอยู่แต่เพียงในลำคอของเธอ ก่อนที่จะหันมาเจอนุชที่ตอนนี้นอนสลบล้มพับขาแข้งอ่อนจนลงไปกองกับพื้น
ความพยายามครั้งถัดมาของจิราสำฤทธิ์ผล เสียงร้องของเธอดังไปทั่วทุกซอกในหมู่บ้านแห่งนั้น จนชาวบ้านต่างแตกตื่นลุกขึ้นมาดูเหตุการณ์ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกัน อย่างไรก็ตามนุชถูกหามตัวเข้าไปปฐมพยาบาล ส่วนจิรายังช็อคจนตัวสั่นไม่อาจให้การณ์อะไรได้ กระทั่งเวลาผ่านไปสักพัก นุชรู้สึกตัวและกำลังพักผ่อน จิราก็ถูกถามถึงต้นสายปลายเหตุจึงเล่าทุกอย่างตามที่พบเห็นตามลำดับ หลังเล่าเรื่องประหลาดสุดสะพรึงจบ ปรากฎว่าเป็นฝ่ายผู้ใหญ่และชาวบ้านที่ดูจะออกอาการมากกว่าที่เธอคิดเอาไว้ มีบางอย่างเกิดขึ้นที่นี่..มีบางเรื่องที่เราไม่รู้ จิรานึกคำอธิบายออกได้เพียงเท่านี้ กระทั่งเจ้าบ้านช่างเหล็กก็พูดแทรกขึ้นมาทำลายความเงียบว่า
“จะอะไรซะอี๊กกก ก็ไอ้เมืองมนมันเลี้ยงผีน่ะสิ พอมันถูกหักอกจากนังโนรี ก็เล่นของทำคุณไสย คงนึกว่าจะทำให้นังโนรีกลับมารักกลับมาชอบมันได้ล่ะมั้ง แต่สุดท้ายของเข้าตัว จนเสียสติไปแล้วไงล่ะ!”
จิราฟังแล้วรู้สึกตำหนิลุงบ้านตีเหล็กอยู่ในที นี่เป็นเรื่องหน้าเศร้าเกินกว่าที่จะพูดล้อเลียนด้วยน้ำเสียงดูแคลนมนุษย์กันแบบนั้น มันไม่ชวนขำเลยสักนิด แต่ลุงแกยังพูดต่อไปอย่างสนุกปาก
“เขาเอาของกินดีๆให้ก็ไม่เอา แต่กลับชอบเอาหนูกบไปนั่งกินในห้องสนิมเขลอะนั่น แปลกคนมั้ยล่ะ”
กระทั่งผู้ใหญ่ส่งสายตาตำหนิมา ลุงแกถึงได้สงบปากสงบคำ บางทีอาจจะกังวลอยู่ในที ว่าตาลุงนี่จะเผลอพูดอะไรที่ไม่ควรพูดออกมาก็เป็นได้ ก่อนจะออกปากสรุปเหตุการณ์ว่า คงทำอะไรไม่ได้ เพราะจะไปห้ามไปปรามมันตลอดก็ไม่ได้ มันก็เดี๋ยวไปเดี๋ยวมา ไม่เป็นหลักแหล่ง แล้วมันก็มักจะแอบมาทำพิธีคุณไสยมนต์ดำของมันเป็นประจำ ปกติคนแถวนี้ไม่ค่อยไปยุ่งแล้วก็ไม่เคยเจออะไรแบบที่หนูว่า บางทีอาจจะเพราะแปลกที่แปลกถิ่นก็เลยพบเจออะไรแปลกๆ อย่างไรก็ตาม ผู้ใหญ่แนะนำให้กลับไปนอนพักผ่อนกัน จะเปิดไฟเอาไว้ทั้งคืนก็ไม่ว่าอะไร เดี๋ยวฟ้าสางแล้วค่อยว่ากันใหม่ จิราและเพื่อนที่เหลือก็ต้องใช้ความพยายามเต็มที่ที่จะหลับ โดยเฉพาะกับคนที่อยู่ในเหตุการณ์เมื่อสักครู่ มันทำให้เรื่องราวดีๆที่ผ่านมาทั้งวันพลันให้วับไปกับตา กระทั่งเช้าวันถัดมารถจากโรงแรมก็มารับกลับ โดยที่ไม่รู้เลยว่าเรื่องราวในวันนี้จะได้กลายมาเป็นเรื่องเล่าผีสุดสยองที่ถูกเล่าผ่านรายการชื่อดังในอีก 30 ปีถัดมา
การกลับไปยังหมู่บ้านเจ้าปัญหาอีกครั้ง…